โรงเรียนสอนคนตาบอดพระมหาไถ่พัทยา ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2529 โดยบุคคลสำคัญ 2 ท่าน คือ บาทหลวงเรย์มอนด์ เบรนนัน ผู้อำนวยการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ศูนย์คณะพระมหาไถ่เมืองพัทยา และ นางออรอรา ศรีบัวพันธุ์ ข้าราชการตาบอด นักสังคมสงเคราะห์ และนักการศึกษา วุฒิปริญญาโทจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้จัดการและครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้ โดยอุทิศตนเป็นอาสาสมัครของมูลนิธิคณะสงฆ์พระมหาไถ่แห่งประเทศไทย
โรงเรียนสอนคนตาบอดพระมหาไถ่พัทยา เป็น โรงเรียนสอนคนตาบอดแห่งเดียวในภาคตะวันออก เริ่มเปิดสอนเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2530 ในอาคาร 1 หลัง บนที่ดิน 1 ไร่เศษ ซึ่งมูลนิธิคณะซาเลเซียนได้อนุเคราะห์สถานที่ให้ใช้ และได้เข้าเป็นโรงเรียนในสังกัดของสำนักงานการศึกษาเอกชนในปี พ.ศ. 2534
ต่อมา โรงเรียนจำเป็นต้องขยายการดำเนินงานเนื่องจากจำนวนนักเรียนเพิ่มมากขึ้น สมาคมสุสานเมืองพัทยาจึงอนุญาตให้ใช้ที่ดินเนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน ในซอย 16 ถนนพัทยา – นาเกลือ ได้โดยไม่คิดค่าเช่า คณะสงฆ์พระมหาไถ่จึงได้สร้างอาคารเรียน 4 ชั้น อาคารหอประชุม โรงอาหาร และส่วนสาธารณูปโภคที่จำเป็นดังที่ปรากฏในปัจจุบัน
โรงเรียนได้ย้ายมายังสถานที่ใหม่นี้เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดป้ายอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2536 และทรงรับเข้าอยู่ในพระราชูปถัมภ์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 25472 มิถุนายน พ.ศ. 2547

ข้อมูลเกี่ยวกับสถานศึกษา: โรงเรียนสอนคนตาบอดพระมหาไถ่พัทยา ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ในทุกหนทุกแห่งและทุกสังคมที่ผู้คนอยู่ร่วมกัน ย่อมมองเห็นความแตกต่างของการดำรงชีวิตที่หลากหลายได้ชัดเจน และโดยสิทธิความเป็นมนุษย์ บุคคลย่อมมีสิทธิ์ที่จะมีโอกาสดำรงชีวิตในมาตรฐานที่ดีของสังคมนั้น แต่บุคคลบางกลุ่มถูกกำหนดไว้โดยธรรมชาติให้เป็นผู้ด้อยโอกาส ซึ่งได้แก่ ผู้พิการ รวมถึงคนตาบอด
เราเชื่อว่าไม่มีคนตาบอดคนใดต้องการทำตนให้เป็นภาระสังคม หากพวกเขาเพียงได้รับโอกาสตั้งแต่เริ่มแรกของชีวิต โอกาสอันดีและประเสริฐที่สุดคือ การศึกษา น่าเสียดายที่ทุกวันนี้คนตาบอดไทยถึง 96% ไม่ได้รับโอกาสนี้
“พระมหาไถ่” คือสถานที่หรืองานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนยากจน ซึ่งรวมถึง โรงเรียนสอนคนตาบอดพระมหาไถ่พัทยา ด้วย สิ่งที่คนตาบอดจะได้รับจากที่แห่งนี้คือ การศึกษา การฟื้นฟูสมรรถภาพ และการฝึกอาชีพ รวมถึงดนตรี กีฬา และทักษะต่างๆ ที่ผู้พิการทางสายตาสามารถทำได้ให้เหมือนกับคนปกติทั่วไป
